นโยบายความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Notice) สำหรับผู้สมัครงาน พนักงาน บุคคลในครอบครัวของผู้สมัคร พนักงาน หรือบุคคลอื่นซึ่งผู้สมัครงาน พนักงาน

นโยบายความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Notice)
สำหรับผู้สมัครงาน พนักงาน บุคคลในครอบครัวของผู้สมัคร พนักงาน หรือบุคคลอื่นซึ่งผู้สมัครงาน พนักงาน

บริษัท สหกลอิควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทอื่นในกลุ่ม (รวมเรียกว่า “บริษัท”) เคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูลหมายรวมถึง ผู้บริหาร ลูกค้า คู่ค้า พนักงาน ผู้สมัครงาน ผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นกู้ และกรรมการ (รวมเรียกว่า “เจ้าของข้อมูล”) เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าเจ้าของข้อมูลได้รับความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล  จึงได้กำหนดนโยบายคุ้มครองฉบับนี้ขึ้นเพื่อแจ้งรายละเอียดการเก็บรวบรวม การใช้ และการเปิดเผย (รวมเรียกว่า “การประมวลผล”) รวมตลอดถึง การลบ และทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูล ทั้งช่องทางออนไลน์ และช่องทางอื่นๆ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ดังนี้

1. แนวทางปฏิบัติ

บริษัทจะดำเนินการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามแนวทางที่กำหนดไว้ในนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งนอกจากนโยบายทั่วไปฉบับนี้บริษัทกำหนดนโยบายย่อยเป็นการเฉพาะกิจกรรมตามประเภทของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งถือเป็นส่วนขยายหรือกำหนดรายละเอียดของนโยบายนี้ ได้แก่ นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับผู้สมัครงาน พนักงาน บุคคลในครอบครัวของผู้สมัคร พนักงาน หรือบุคคลอื่นซึ่งผู้สมัครงาน พนักงานได้ให้ไว้  นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับลูกค้า คู่ค้า หรือผู้มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจ  นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับผู้มาติดต่อ ผู้ขอเข้าอาคาร  ผู้ขอเข้าสถานที่ปฏิบัติงานหรือพื้นที่เฉพาะของบริษัท นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นกู้ และเจ้าของข้อมูลของบุคคล ดังกล่าว  นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับกรรมการ ผู้บริหารระดับสูงสุด และบุคคลที่อาจเป็นกรรมการ หรือผู้บริหารระดับสูงสุด นโยบายคุ้มครองผู้ใช้งานเว็บไซต์ของบริษัท เป็นต้น

  1. วัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล และกรณีจำเป็นต้องให้ข้อมูลส่วนบุคคล                                                                                            1.1กรณีที่ท่านเป็น ผู้สมัครงาน บริษัท จะมีการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน โดยอาศัย

ฐานทางกฎหมายต่าง ๆ เพื่อวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้ 

ลำดับที่
วัตถุประสงค์
ฐานทางกฎหมาย
1
เพื่อดำเนินการที่จำเป็นในการพิจารณาและคัดเลือกผู้สมัครงาน ซึ่งหมายความรวมถึงขั้นตอนสมัครผ่านช่องทางการสมัครงานออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัท การสมัครงานผ่านทางบริษัทโดยตรง หรือผ่านทางผู้ให้บริการจัดหางาน ขั้นตอนการสัมภาษณ์ ขั้นตอนการเสนอสัญญาจ้างงานให้แก่ท่าน ขั้นตอนการประเมินคัดเลือก และกระบวนการบริหารงานบุคคลอื่น ๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาและคัดเลือกเข้าทำงานกับบริษัท
การปฏิบัติตามสัญญา (Contractual Basis)
2
เพื่อดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติก่อนการจ้างงานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงการตรวจสอบข้อมูลที่จำเป็น และตรวจสอบข้อมูลของท่านจากบุคคลอ้างอิงที่ท่านระบุ หรือ ตรวจสอบประวัติการทำงานก่อนหน้า เพื่อประกอบการตัดสินใจรับเข้าทำงานกับบริษัท และการทำสัญญาจ้างงาน
การปฏิบัติตามกฎหมาย
(Legal Obligation)
ความจำเป็นเพื่อประโยชน์
โดยชอบด้วยกฎหมาย
(Legitimate Interests)
3
เพื่อการรักษาความปลอดภัยภายในบริเวณอาคารหรือสถานที่ความปลอดภัยต่อทรัพย์สินและพนักงานของบริษัท รวมถึงการประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัย รวมทั้งการแลกบัตรเข้าออกอาคาร การบันทึกข้อมูลการเข้าออกสถานที่ของบริษัท และการบันทึกภาพภายในอาคารหรือสำนักงาน หรือสำนักงานสาขาของบริษัททั้งในและต่างประเทศ ด้วยกล้องวงจรปิด (CCTV)
ความจำเป็นเพื่อประโยชน์
โดยชอบด้วยกฎหมาย
(Legitimate Interests)
1.2 กรณีที่ท่านเป็นพนักงาน บริษัทจะมีการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน โดยอาศัยฐานทางกฎหมายต่าง ๆ เพื่อวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้
ลำดับที่
วัตถุประสงค์
ฐานทางกฎหมาย
1
เพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของพนักงานก่อนเข้าทำสัญญาหรือเพื่อปฏิบัติตามสัญญาซึ่งพนักงานเป็นคู่สัญญากับบริษัท เช่น จัดทำสัญญาจ้างงาน ข้อตกลง การปฏิบัติตามสัญญาจ้างงาน การทำหนังสือมอบอำนาจ การปฏิบัติตามข้อบังคับและระเบียบการบริหารงานบุคคลของบริษัท จรรยาบรรณ การมอบหมายให้ปฏิบัติงาน การโยกย้ายพนักงาน การส่งพนักงานไปปฏิบัติงานนอกสถานที่หรือสาขา การปฏิบัติงานสาขาต่างประเทศ การฝึกอบรม การไปศึกษาดูงานทั้งในและต่างประเทศ การประเมินผลการปฏิบัติงาน การพิจารณาตำแหน่งงาน การจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการ การบริหารและการดูแลเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน รวมทั้งการลงโทษทางวินัย
การปฏิบัติตามสัญญา
(Contractual Basis)
ความจำเป็นเพื่อประโยชน์
โดยชอบด้วยกฎหมาย
(Legitimate Interest)
2
เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น การปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมาย กฎระเบียบ และคำสั่งของผู้ที่มีอำนาจตามกฎหมาย เช่น กฎหมายคุ้มครองแรงงาน กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายประกันสังคม กฎหมายกองทุนเงินมัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน กฎหมายควบคุมการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม กฎหมายควบคุมโรคติดต่อ กฎหมายจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน กฎหมายตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง และกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้องทดแทน กฎหมายพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กฎหมายความปลอดภัย อาชีวอนา
การปฏิบัติตามกฎหมาย
(Legal Obligation)
3
เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือของบุคคลอื่น เช่น
1) การบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ เช่นการศึกษาวิเคราะห์และจัดสรร กำลังคน การอบรมและพัฒนาพนักงาน การประเมินผล การดูแลพนักงานเมื่อพ้นสภาพการเป็นพนักงาน เช่น การให้กรอกแบบสอบถาม การจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคล
2) การจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ เช่น การรักษาพยาบาล การจัด สวัสดิการด้านการประกันภัย และสวัสดิการอื่น ๆ ของพนักงาน เช่น หอพักหรือบ้านพัก ห้องพยาบาล ห้องอาหาร การจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวก การปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงานให้เกิดความปลอดภัย
3) การดำเนินการเรื่องกิจกรรมสันทนาการเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ เช่น กิจกรรมงานเลี้ยงปีใหม่ ประชุมหรือสัมมนานอกสถานที่
4) การจัดทำรายงาน การส่งข้อมูลให้หน่วยงานราชการ/หน่วยงานกำกับดูแล กระทรวงแรงงาน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD)
5) การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้รับจากพนักงาน การวิเคราะห์ และจัดทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการทำงาน ประวัติสุขภาพ การตอบแบบ สอมถาม หรือแบบสำรวจ เป็นต้น
6) การติดต่อสื่อสาร เช่น การจัดทำเอกสารเผยแพร่แก่สาธารณะ การ ติดต่อภายใน การติดต่อกับบุคคลภายนอก การส่งข่าวสาร และประชาสัมพันธ์
7) การรักษาความปลอดภัยและการเข้าถึงระบบสารสนเทศ เช่นการสร้าง บัญชีผู้ใช้งาน การระบุตัวตนเพื่อเข้าใช้ระบบงาน
ความจำเป็นเพื่อประโยชน์
ชอบด้วยกฎหมาย
(Legitimate Interest)
4
เพื่อบริหารความเสี่ยง การบริหารจัดการภายในองค์กร การกำกับการตรวจสอบ รวมถึงเพื่อการตรวจสอบภายในของฝ่ายตรวจสอบภายในและสำนักงานตรวจสอบจากภายนอก
ความจำเป็นเพื่อประโยชน์
โดยชอบด้วยกฎหมาย
(Legitimate Interests)
5
เพื่อป้องกันและระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของพนักงานหรือบุคคลอื่น ในกรณีที่พนักงานไม่สามารถให้ความยินยอมได้ เช่น การติดต่อในกรณีฉุกเฉิน การเกิดอุบัติเหตุ หรือการเจ็บป่วย
การป้องกันการระงับ
อันตรายต่อชีวิต ร่างกาย
หรือสุขภาพของบุคคล
( Vital Interests )
6
เพื่อประโยชน์ด้านการสาธารณสุข เช่น การป้องกันด้านสุขภาพจากโรคติดต่ออันตรายต่างๆ หรือโรคระบาดที่แพร่เข้ามาในราชอาณาจักร เช่น โรคโควิด-19
การปฏิบัติตามกฎหมาย
(Legal Obligation)
7
เพื่อการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินภารกิจเพื่อประโยชน์สาธารณะของ บริษัท หรือปฏิบัติหน้าที่ในการใช้อำนาจรัฐที่ได้มอบให้ เช่น การประมวลผล ข้อมูลส่วนบุคคลของสถานตรวจสภาพรถเอกชนซึ่งได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก การตรวจสอบและจัดการเกี่ยวกับข้อร้องเรียนและการทุจริต คดีหรือข้อพิพาทต่าง ๆ
ความจำเป็นเพื่อประโยชน์
โดยชอบด้วยกฎหมาย
(Legitimate Interest)
8
เพื่อการรักษาความปลอดภัยภายในบริเวณอาคารหรือสถานที่ รวมทั้งความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของพนักงานและของบริษัท เช่น
1) การประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
2) การป้องกันอุบัติเหตุและอาชญากรรม
3) การแลกบัตรเข้าออกอาคาร การบันทึกข้อมูลการเข้าออกสถานที่ของบริษัท และการยืนยันตัวตนโดยการบันทึกลายนิ้วมือหรือการบันทึกใบหน้า การบันทึกภาพถ่ายในงานกิจกรรมต่างๆของบริษัท และการบันทึกภาพภายในอาคารหรือสำนักงาน หรือสำนักงานสาขาของบริษัททั้งในและต่างประเทศ ด้วยกล้องวงจรปิด (CCTV)
ความจำเป็นเพื่อประโยชน์
โดยชอบด้วยกฎหมาย
(Legitimate Interest)
1.3. กรณีที่ท่านเป็น บุคคลในครอบครัวพนักงาน หรือบุคคลอื่น ซึ่งผู้สมัครงานหรือพนักงานของบริษัท ได้ให้ข้อมูลไว้ บริษัทจะมีการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลเหล่านั้น โดยอาศัยฐานทางกฎหมายต่าง ๆ เพื่อวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้
ลำดับที่
วัตถุประสงค์
ฐานทางกฎหมาย
1
เพื่อการติดต่อสื่อสารในกรณีจำเป็น หรือเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น ตรวจสอบข้อมูลของผู้สมัครงานจากบุคคลอ้างอิงที่ระบุ หรือ ตรวจสอบประวัติการทำงานของผู้สมัครงาน ก่อนหน้า แจ้งเหตุอันตรายที่เกิดแก่ผู้สมัครงานให้ทราบ เป็นต้น
ความจำเป็นเพื่อประโยชน์
โดยชอบด้วยกฎหมาย
(Legitimate Interest)
2
เพื่อการรักษาความปลอดภัยภายในบริเวณอาคารหรือสถานที่ ความปลอดภัยต่อทรัพย์สินและพนักงานของบริษัท รวมถึงการประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัย รวมทั้งการแลกบัตรเข้าออกอาคาร การบันทึกข้อมูลการเข้าออกสถานที่ของบริษัท และการบันทึกภาพภายในอาคารหรือสำนักงาน หรือสำนักงานสาขาของบริษัททั้งในและต่างประเทศ ด้วยกล้องวงจรปิด (CCTV)
ความจำเป็นเพื่อประโยชน์
โดยชอบด้วยกฎหมาย
(Legitimate Interest)
บริษัท ขอแจ้งให้ท่านทราบว่า การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครงาน พนักงาน บุคคลในครอบครัวของผู้สมัครงานหรือของพนักงาน รวมถึงบุคคลอื่น ซึ่งผู้สมัครงานหรือพนักงาน ได้ให้ข้อมูลไว้กับบริษัท โดยอาศัยฐานทางกฎหมายประการต่าง ๆ ตามที่แจ้งไว้นี้ โดยไม่ได้อาศัยความยินยอม แต่อย่างไรก็ตาม อาจมีการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลในบางกรณีที่เราไม่อาจใช้ฐานทางกฎหมายเหล่านี้ได้ เช่น กรณีที่กฎหมายกำหนดให้จะต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความละเอียดอ่อน (Sensitive Data) เป็นต้น ในกรณีเช่นนั้น บริษัทจะขอความยินยอม ( Consent ) โดยชัดแจ้งจากท่าน (โปรดอ่านเอกสารขอความยินยอมของบริษัทเพิ่มเติมจากเอกสารนี้) และในกรณีที่ท่านเป็นผู้สมัครงาน และได้ให้ข้อมูลของบุคคลในครอบครัวหรือบุคคลอื่นแก่บริษัทนั้น ท่านจะต้องรับผิดชอบในการแจ้งให้บุคคลเหล่านั้นทราบถึงแบบแจ้งเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้ และ/หรือดำเนินการขอความยินยอม (หากจำเป็น)
ในกรณีที่ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัท เก็บรวบรวมข้างต้นเป็นข้อมูลที่จำเป็น ในการปฏิบัติตามสัญญาหรือการปฏิบัติตามกฎหมายต่าง ๆ ที่ใช้บังคับ หากท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นดังกล่าว บริษัทอาจไม่สามารถทำสัญญาจ้างงานกับท่าน หรือไม่สามารถบริหารจัดการสัญญาตามวัตถุประสงค์ของการจ้างงานได้ หรืออาจมีผลต่อการได้รับสิทธิสวัสดิการ หรือการจัดการอำนวยความสะดวกให้กับท่าน
2. ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีการเก็บรวบรวม โดยทั่วไปแล้ว บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน โดยการขอข้อมูลจากท่านโดยตรง เช่น การให้ท่านกรอก ข้อมูลตามแบบฟอร์มที่บริษัทกำหนด หรือสอบถามจากท่าน หรือขอให้ท่านส่งเอกสารที่มีข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่บริษัท แต่อย่างไรก็ตาม อาจมีบางกรณีที่บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมาจากแหล่งอื่นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้น เช่น
• บุคคลอ้างอิงที่ท่านระบุในใบสมัครงาน
• มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาของท่าน
• ผู้ให้บริการจัดหางานหรือบริษัทลงโฆษณาประกาศรับสมัครงานบนสื่อออนไลน์ Facebook ฯลฯ
• หน่วยงานราชการ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
• หน่วยงานหรือองค์กรที่ท่านได้เคยปฏิบัติงาน ทั้งนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัท ดำเนินการเก็บรวบรวมนั้น มีดังต่อไปนี้
2.1 ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป
(1) ข้อมูลที่ใช้ระบุตัวตน (Identity Data) เช่น ชื่อ นามสกุล สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาหนังสือเดินทาง วัน เดือน ปีเกิด เพศ อายุ สัญชาติ สถานภาพการสมรส ลายมือชื่อ สำเนาเกี่ยวกับการเปลี่ยนชื่อ- สกุล ภาพถ่าย รูปภาพ รวมถึงสำเนาใบอนุญาตขับขี่หรือสำเนาบัตรอื่นใดที่ออกโดยหน่วยงานราชการ
(2) ข้อมูลติดต่อ (Contact Data) เช่น ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ หมายเลขโทรศัพท์มือถือ และ/หรืออีเมล
(3) ข้อมูลทางการเงิน (Financial Data) เช่น ข้อมูลค่าจ้าง เงินเดือน รายได้ ภาษี กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ บัญชีธนาคาร การกู้ยืมเงิน รายการยกเว้นหรือหักลดหย่อนทางภาษี การถือหลักทรัพย์ของบริษัท ชื่อบริษัทหลักทรัพย์
(4) ข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ เช่น ประวัติการทำงาน การศึกษา ความสามารถ และการพัฒนาทักษะ ประวัติการฝึกอบรม คุณสมบัติด้านวิชาชีพ ความสามารถด้านภาษา คุณสมบัติพิเศษด้านอื่นๆ รวมถึงหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น สถานภาพการเกณฑ์ทหาร ข้อมูลบุคคลอ้างอิง สถานภาพการสมรส ประวัติการฝึกงาน
(5) ข้อมูลระบุตัวตนของบุคคลในครอบครัว (บิดา มารดา คู่สมรส และบุตร) ได้แก่ ชื่อ นามสกุล วัน เดือน ปีเกิด เพศ อายุ อาชีพ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้
(6) ข้อมูลคุณลักษณะของพนักงาน เช่น นิสัย พฤติกรรม ความสนใจ ความคิดเห็น ทักษะ ความถนัด ความเป็นผู้นำ ความสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่น ความฉลาดทางอารมณ์ ความผูกพันต่อองค์กร ซึ่งอาจได้มาจากการสังเกตและวิเคราะห์ของบริษัทหรือของเพื่อนร่วมงานในระหว่างปฏิบัติงานหรือเข้าร่วมกิจกรรมของบริษัท
(7) ข้อมูลเกี่ยวกับประสบการณ์ทำงาน และข้อมูลเกี่ยวกับการจ้างงานในอดีต เช่น ตำแหน่งงาน อายุการทำงาน รายละเอียดของนายจ้าง เงินเดือน และค่าตอบแทน สวัสดิการที่ได้รับ
(8) ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการรายงานหน่วยงานที่กำกับดูแล เช่น กระทรวงแรงงาน สำนักงานประกันสังคม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย
(9) ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการประกันสังคม กองทุนเงินทดแทน การคุ้มครองแรงงาน สิทธิประโยชน์ สวัสดิการ และผลประโยชน์ที่พนักงานได้รับหรือมีสิทธิที่จะได้รับตามข้อบังคับและระเบียบบริหารงานบุคคลของบริษัท
(10) ข้อมูลที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงาน เช่น การบันทึกการเข้า-ออกงาน และระยะเวลาในการปฏิบัติงาน การทำงานล่วงเวลา การขาดและลางาน
(11) ข้อมูลประวัติการปฏิบัติงาน ตำแหน่งงาน การเข้าประชุม การให้ความเห็น ในการที่เป็นกรรมการบริษัท จะมีการเพิ่มเติมข้อมูล ประวัติกรรมการ ทะเบียนกรรมการ
(12) ข้อมูลการใช้งานและการเข้าถึงระบบสารสนเทศ คอมพิวเตอร์ ระบบงาน เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน ระบบโครงข่าย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ระบบอีเมล เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศของบริษัท และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
(13) ข้อมูลที่รวบรวมจากการมีส่วนร่วมกับบริษัท เช่น การอบรม การเข้าร่วมกิจกรรมสันทนาการ การตอบแบบสำรวจ การตอบแบบประเมิน และ เอกสารต่างๆของบริษัท (14) รายละเอียดของผู้ที่บริษัทสามารถติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น ชื่อ นามสกุล ความสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์
(15) ข้อมูลเกี่ยวกับยานพาหนะ ใบอนุญาตขับขี่ ความสามารถในการขับขี่ยานพาหนะ และกรณีที่พนักงานขับขี่ยานพาหนะหรือเครื่องจักรที่บริษัทจัดหาให้ บริษัทจะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการขับขี่ยานพาหนะของพนักงานด้วย
(16) ข้อมูลอื่นที่จำเป็นต่อการตรวจสอบผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทางผลประโยชน์ เช่น ข้อมูลการถือหุ้น และความสัมพันธ์กับคู่ค้าทางธุรกิจ
(17) ข้อมูลเกี่ยวกับอุบัติเหตุ เช่น พนักงานประสบอุบัติเหตุในเวลางานหรืออันเนื่องมาจากการปฏิบัติงาน และ/หรืออุบัติเหตุอื่น ๆ
(18) ข้อมูลอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการปฏิบัติตามสัญญาจ้างแรงงาน เช่น การดูแลสิทธิประโยชน์สวัสดิการ การวิเคราะห์และการบริหารงานของบริษัท การดูแลพนักงานหลังพ้นสภาพการเป็นพนักงาน และการปฏิบัติตามกฎหมายต่าง ๆ
(17) ข้อมูลที่เกี่ยวกับการร้องเรียน การร้องทุกข์ Whistleblowing การสอบสวน การลงโทษทางวินัย ทั้งนี้หากท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นดังกล่าว บริษัทอาจไม่สามารถทำสัญญาจ้างงานกับท่าน หรือไม่สามารถบริหารจัดการสัญญาตามวัตถุประสงค์ของการจ้างงานได้ หรืออาจมีผลต่อการได้รับสิทธิสวัสดิการ หรือการจัดการอำนวยความสะดวกให้กับท่าน
2.2 ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความละเอียดอ่อน
โดยทั่วไปแล้ว บริษัท ไม่มีความประสงค์จะเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลศาสนาและหมู่โลหิตที่ปรากฏอยู่ในสำเนาบัตร ประจำตัวประชาชนของท่านเพื่อวัตถุประสงค์ใดโดยเฉพาะ หากท่านได้มอบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่บริษัท ขอให้ท่านปกปิดข้อมูลดังกล่าว หากท่านมิได้ปกปิดข้อมูลข้างต้น ถือว่าท่านอนุญาตให้บริษัทดำเนินการปกปิดข้อมูลเหล่านั้น และถือว่าเอกสารที่มีการปกปิดข้อมูลดังกล่าว มีผลสมบูรณ์และบังคับใช้ได้ตามกฎหมายทุกประการ ทั้งนี้ หากบริษัท ไม่สามารถปกปิดข้อมูลได้เนื่องจากข้อจำกัดทางเทคนิคบางประการ บริษัทจะเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเอกสารยืนยันตัวตนของท่านเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม บริษัท มีความจำเป็นต้องเก็บรวบรวมและใช้ ข้อมูลประวัติอาชญากรรมของผู้สมัครงานในบางตำแหน่งงาน เพื่อดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติก่อนการจ้างงานตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งบริษัทสามารถประมวลผลข้อมูลดังกล่าวได้โดยอาศัยฐานทางกฎหมายที่แจ้งไว้ในข้อ 1. โดยไม่ได้อาศัยความยินยอมของท่าน ทั้งนี้ บริษัทจะจัดให้มีมาตรการที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานและประโยชน์ของท่าน และจะกระทำการต่าง ๆ ภายใต้ขอบเขตที่กฎหมายอนุญาตให้กระทำได้โดยเคร่งครัด
นอกจากนี้หาก บริษัทมีความจำเป็นที่จะต้องเก็บข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความละเอียดอ่อนอื่น ๆ เพื่อวัตถุประสงค์ใดโดยเฉพาะ บริษัทจะดำเนินการขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่านก่อน ทั้งนี้ บริษัทอาจมีการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความละเอียดอ่อน ดังนี้
(1) ข้อมูลสุขภาพ เช่น น้ำหนัก ส่วนสูง โรคประจำตัว ผลการตรวจร่างกาย ใบรับรองแพทย์ ประวัติการรักษาพยาบาล ใบเสร็จค่ารักษาพยาบาล เพื่อการคุ้มครองและการจัดให้มีสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลสำหรับพนักงานและบุคคลในครอบครัว การประเมินความสามารถในการทำงานของพนักงานรวมถึงการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพของพนักงานและเพื่อการบริหารจัดการที่เหมาะสมอื่นๆ
(2) ข้อมูลเกี่ยวกับความพิการ เพื่อใช้ในการนำส่งเงินสมทบตาม พ.ร.บ.พัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
(3) ข้อมูลชีวภาพ เช่น ข้อมูลจำลองลายนิ้วมือ ข้อมูลภาพจำลองใบหน้า เพื่อใช้ในการระบุและยืนยันตัวตนของพนักงาน การป้องกันอาชญากรรม และการรักษาผลประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือของบุคคลอื่น
(4) ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติอาชญากรรม ซึ่งจะเก็บจากการหลักฐานที่พนักงานนำมาแสดงหรือพนักงานยินยอมให้ตรวจสอบจากหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย โดยเราจะจัดให้มีมาตรการคุ้มครองข้อมูลดังกล่าวตามที่กฎหมายกำหนด
3. ระยะเวลาที่จัดเก็บ การเก็บรวบรวม การใช้ การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัท ทำการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลของท่าน โดยมีรายละเอียดตามที่ระบุ
3.1 ข้อมูลผู้สมัครงาน ที่ไม่ผ่านการพิจารณารับเข้าทำงานจะถูกเก็บไว้เป็นระยะเวลา 6 เดือนนับจากวันที่ทราบผล เพื่อ บริษัทจะสามารถติดต่อท่านในกรณีที่มีตำแหน่งงานใดๆในอนาคตที่อาจเหมาะสมกับท่าน
3.2 ข้อมูลพนักงาน จะถูกจัดเก็บไว้ตลอดระยะเวลาตามสัญญาจ้างและหลังจากสิ้นสุดสัญญาจ้างไม่เกิน 10 ปี หรือเก็บนานกว่านั้นตามที่กฎหมายบัญญัติ เพื่อวัตถุประสงค์ในการพิสูจน์ตรวจสอบกรณีอาจเกิดข้อพิพาทภายในอายุความที่กฎหมายกำหนด
3.3 บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบ เพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บ รักษาหรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น
4. การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัทอาจส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังบริษัทในเครือหรือบุคคลอื่น ในกรณีที่จำเป็นเพื่อการปฏิบัติตามสัญญาซึ่งท่าน เป็นคู่สัญญา หรือเป็นการกระทำตามสัญญาระหว่างบริษัทกับบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น เพื่อประโยชน์ของเจ้าของข้อมูลหรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของเจ้าของข้อมูลก่อนเข้าทำสัญญา หรือเพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของเจ้าของข้อมูลหรือบุคคลอื่น เพื่อปฏิบัติตามกฎหมาย หรือเป็นการจำเป็นเพื่อดำเนินภารกิจเพื่อประโยชน์สาธารณะที่สำคัญ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และฐานในการประมวลผลที่ได้แจ้งไว้ในบริษัท อาจเปิดเผยข้อมูลของท่านเท่าที่จำเป็นให้แก่บุคคลภายนอก ดังต่อไปนี้
4.1. พนักงานบริษัท สาขาและหรือบริษัทในเครือ
4.2. ที่ปรึกษากฎหมาย ทนายความ ผู้ตรวจสอบบัญชี ผู้ตรวจสอบการบริหารงานของบริษัท ภายในและภายนอก
4.3. เจ้าหน้าที่กรมสรรพกร เจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคม เจ้าหน้าที่กองทุนเงินทดแทน เจ้าหน้าที่กรมพัฒนาฝีมือ
แรงงาน เจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กรมการกงสุลกระทรวงต่างประเทศ และหรือหน่วยงานรัฐที่มีอำนาจในการขอข้อมูลส่วนบุคคลตามที่กฎหมายกำหนด
4.4. เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจในการขอข้อมูลส่วนบุคคล เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการ ศาล พนักงานสอบสวน อัยการ เป็นต้น และอาจเป็นการเปิดเผยให้หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีของบริษัทเองด้วย
4.5. บริษัทที่ได้ว่าจ้างให้ดำเนินการในฐานะผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ให้เป็นผู้เก็บข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน และของผู้บริหาร ลงบนคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์หรือคลาวด์ที่ให้บริการโดยบุคคลอื่น และอาจใช้โปรแกรมหรือแอปพลิเคชันของบุคคลอื่นในรูปแบบของการให้บริการซอฟท์แวร์สำเร็จรูปและรูปแบบของการให้บริการแพลตฟอร์มสำเร็จรูปในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล แต่บริษัทจะไม่อนุญาตให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลได้ และจะกำหนดให้บุคคลอื่นเหล่านั้นต้องมีมาตรการคุ้มครองความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสม
5. การส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปต่างประเทศ
ในกรณีที่มีการส่งข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงานและของผู้บริหารไปยังต่างประเทศ บริษัทจะปฏิบัติตามกฎหมาย คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและใช้มาตรการที่เหมาะสมเพื่อทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลส่วนบุคคลจะได้รับการคุ้มครองและบริษัทสามารถใช้สิทธิที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลได้ตามกฎหมาย รวมถึงบริษัทจะกำหนดให้ผู้ที่ได้รับข้อมูลมีมาตรการปกป้องข้อมูลอย่างเหมาะสมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยปราศจากอำนาจโดยมิชอบ
6. การใช้คุกกี้
บริษัทมีการใช้คุกกี้เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล ตามที่ได้กำหนดไว้ตาม นโยบายคุ้มครองผู้ใช้งานงานเว็บไซต์ของบริษัท
7. การขอความยินยอมและผลกระทบที่เป็นไปได้จากการถอนความยินยอม
7.1. ในกรณีที่บริษัทเก็บรวบรวม ใช้ และประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลโดยอาศัยความยินยอม เจ้าของข้อมูลมีสิทธิที่จะถอน ความยินยอมที่ให้ไว้กับบริษัทได้ตลอดเวลา ซึ่งการถอนความยินยอมนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย หรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้ให้ความยินยอมไปแล้ว
7.2. หากเจ้าของข้อมูลถอนความยินยอมที่ได้ให้ไว้กับบริษัทหรือปฏิเสธไม่ให้ข้อมูลบางอย่าง อาจส่งผลให้บริษัทไม่สามารถ ดำเนินการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์บางส่วนหรือทั้งหมดตามที่ระบุไว้ในนโยบายความเป็นส่วนตัวนี้ได้
7.3. หากเจ้าของข้อมูลมีอายุไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ ก่อนการให้ความยินยอมโปรดแจ้งรายละเอียดผู้ใช้อำนาจปกครองให้เรา ทราบเพื่อให้บริษัทสามารถดำเนินการขอความยินยอมจากผู้ใช้อำนาจปกครองด้วย
8. สิทธิเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูล
8.1. เจ้าของข้อมูลมีสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สรุปดังนี้
(1) ถอนความยินยอมที่ได้ให้ไว้กับบริษัทในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
(2) ขอดูและคัดลอกข้อมูลส่วนบุคคล หรือขอให้เปิดเผยที่มาของข้อมูลส่วนบุคคล
(3) การส่ง หรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ตามที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด ไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่น
(4) คัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับเจ้าของข้อมูล
(5) ลบ ทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ (Anonymization)
(6) ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
(7) แก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด
(8) ร้องเรียนต่อคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ในกรณีที่บริษัทหรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งลูกจ้างหรือผู้รับจ้างของบริษัทหรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ทั้งนี้บริษัทจะพิจารณาและแจ้งผลการพิจารณาตามคำร้องขอใช้สิทธิของท่านโดยเร็วภายใน 30 วันนับแต่วันที่เราได้รับคำร้องขอดังกล่าว และสิทธิตามที่กล่าวมาข้างต้น เป็นไปตามที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด
8.2. บริษัทสามารถใช้สิทธิตามกฎหมายได้โดย คลิกที่นี่ หรือไปที่ [https://www.sahakol.com/th/legal_privacy/dsr.html] (โดยจะเริ่มใช้สิทธิได้เมื่อกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีผลใช้บังคับกับผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล)
9. เกี่ยวกับการควบคุมจัดการข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัทได้จัดตั้งระบบบริหารจัดการและควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ตามประกาศคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยดำเนินการจัดทำระบบ จดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัย จัดทำเอกสารทำการทบทวนและการพัฒนาปรับปรุงอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเป็นไปอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับกฎหมาย ทั้งนี้ผู้บริหาร พนักงาน ผู้รับจ้าง ตัวแทน ที่ปรึกษาและผู้รับข้อมูลจากบริษัท มีหน้าที่ต้องรักษาความลับของข้อมูลส่วนบุคคลตามมาตรการรักษาความลับที่บริษัทกำหนด
10. ช่องทางการติดต่อกับผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล
การติดต่อกับบริษัทในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลตามนโยบายนี้
ผู้ติดต่อ เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท สหกลอิควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน )
เลขที่ 47/10 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900 โทรศัพท์ : 02-9410888
แฟกซ์ : 02-9410881 เว็บไซต์ : www.sahakol.com อีเมล : pdpa.sq@sahakol.com
หากพบการรั่วไหลของข้อมูล บริษัทจะดำเนินการแจ้งให้ท่านทราบภายใน 72 ชั่วโมง
จึงประกาศมาเพื่อทราบและถือปฏิบัติโดยทั่วกัน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2565 เป็นต้นไป